ชาวคอมพิวเตอร์

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550

การสร้างสื่อเพื่อการเรียนการสอน

หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียนการสอน
.....1.1 ความหมาย ประเภท ของสื่อการเรียนการสอน
.....1.2 คุณค่า และ ประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน
.....1.3 หลัการลือกและการใช้สื่อการเรียนการสอน
หน่วยที่ 2 จ

1. สื่อการสอน


....ความหมายของสื่อการสอน........นักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คำจำกัดความของ “สื่อการสอน” ไว้อย่างหลากหลาย ดังเช่น
....ชอร์ส กล่าวว่า เครื่องมือที่ช่วยสื่อความหมายจัดขึ้นโดยครูและนักเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นสื่อการสอน เช่น หนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพ แผนที่ ของจริง และทรัพยากรจากแหล่งชุมชน
....บราวน์ และคณะ กล่าวว่า จำพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการเรียนที่ดี ทั้งนี้รวมถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่องมือเท่านั้น เช่น การศึกษานอกสถานที่ การแสดง บทบาทนาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการสำรวจ เป็นต้น
....เปรื่อง กุมุท กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับทำให้การสอนของครูถึงผู้เรียนและทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ครูวางไว้ได้เป็นอย่างดี
....ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สื่อการสอนว่า วัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอนเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อความหมายที่ผู้สอนประสงค์จะส่ง หรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
....ดังนั้น สรุปได้ว่า สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลางในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้
....ประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน....
....นักการศึกษาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของสื่อการสอนไว้หลากหลาย เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับประโยชน์หรือคุณค่าของสื่อการสอนออกโดยแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังต่อไปนี้
....1. ประโยชน์ของสื่อการสอนที่มีต่อผู้เรียน....
- ช่วยกระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียน
- ช่วยให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก และรวดเร็ว
- ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลในบริบทของการเรียนรู้
- ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
- ช่วยให้สามารถนำเนื้อหาที่มีข้อจำกัดมาสอนในชั้นเรียนได้
- ช่วยให้ผู้เรียนเรียนอย่างกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมกับการเรียน
- ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน และไม่เบื่อหน่ายต่อการเรียน
....2. ประโยชน์ของสื่อการสอนที่มีต่อผู้สอน....
- ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในด้านการเตรียมการสอนหรือเนื้อหาการสอน
- ช่วยสร้างบรรยากาศในการสอนให้น่าสนใจ
- ช่วยสร้างความมั่นใจในการสอนให้แก่ผู้สอน
- กระตุ้นให้ผู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอ
....ประเภทของสื่อการสอน....
....เอ็ดการ์ เดล ได้แบ่งประเภทของสื่อการสอนออกเป็น 11 กลุ่ม ตามระดับการมีส่วนร่วมของผู้เรียน หรือระดับประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับดังนี้
..1. ประสบการณ์ตรง (Direct or Purposeful Experiences)
ตัวอย่างเช่น การทดลองผสมสารเคมี การฝึกหัดทำอาหาร การฝึกหัดตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นต้น..2. ประสบการณ์จำลอง (Contrived experiences)
ตัวอย่างเช่น การฝึกหัดผ่าตัดตาด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การฝึกหัดขับเครื่องบินด้วยเครื่อง Flight Simulator เป็นต้น..3. ประสบการณ์นาฏการหรือการแสดง (Dramatized Experience)
ตัวอย่างเช่น การแสดงบทบาทสมมติ หรือการแสดงละคร
..4. การสาธิต (Demonstration)
ตัวอย่างเช่น การสาธิตการอาบน้ำเด็กแรกเกิด การสาธิตการแกะสลักผลไม้ เป็นต้น..5. การศึกษานอกสถานที่ (Field Trip)
ตัวอย่างเช่น การท่องเที่ยว หรือการเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ มีการจดบันทึกสิ่งที่พบตลอดจนสัมภาษณ์บุคคลที่ดูแลสถานที่เยี่ยมชม..6. นิทรรศการ (Exhibits)
ตัวอย่างเช่น นิทรรศการ หรือการจัดป้ายนิเทศ
..7. โทรทัศน์ (Television)
ตัวอย่างเช่น เทปวีดิทัศน์ หรือเป็นรายการสด
..8. ภาพยนตร์ (Motion Picture)
ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ที่มีลักษณะเป็นภาพเคลื่อนไหว มีเสียงประกอบ และได้บันทึกลงไว้ในแผ่นฟิล์ม..9. ภาพนิ่ง วิทยุ และแผ่นเสียง (Recording, Radio, and Still Picture)
ตัวอย่างเช่น สื่อภาพนิ่งซึ่งอาจเป็นรูปภาพ สไลด์ หรือภาพวาด ภาพล้อ หรือภาพเหมือนจริง..10. ทศนสัญลักษณ์ (Visual Symbols)
ตัวอย่างเช่น พวกวัสดุกราฟิกทุกประเภท เช่น แผนที่ แผนภูมิ แผนสถิติ แผนภาพ การ์ตูนเรื่อง หรือสัญลักษณ์รูปแบบต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการสื่อความหมาย
..11. วจนสัญลักษณ์ (Verbal Symbols)
ตัวอย่างเช่น รูปแบบของคำพูด คำบรรยาย ตัวหนังสือ ตัวเลข หรือสัญลักษณ์พิเศษต่างๆ ที่ใช้ในภาษาการเขียน
....การออกแบบสื่อการสอน....
....สื่อการสอน คือ การนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการนำวัสดุ เครื่องมือและวิธีการมาประกอบในการถ่ายทอดความรู้และเนื้อหาไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ในสิ่งที่ครูได้ถ่ายทอด รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงตามเนื้อหา นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น และช่วยประหยัดเวลา
....ลักษณะการออกแบบที่ดี (Characteristics of Good Design) มีลักษณะดังต่อไปนี้
..1.ควรเป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับความมุ่งหมายของการนำไปใช้
..2. ควรเป็นการออกแบบที่มีลักษณะง่ายต่อการมำความเข้าใจ การนำไปใช้งานและกระบวนการผลิต
..3. ควรมีสัดส่วนที่ดีและเหมาะสมตามสภาพการใช้งานของสื่อ
..4. ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของการใช้และการผลิตสื่อชนิดนั้น
....องค์ประกอบของการออกแบบมีดังต่อไปนี้
..1. จุด ( Dots )
..2. เส้น ( Line )
..3. รูปร่าง รูปทรง ( Shape- Form )
..4. ปริมาตร ( Volume )
..5. ลักษณะพื้นผิว ( Texture )
..6. บริเวณว่าง ( Space )
..7. สี ( Color )
..8. น้ำหนักสื่อ ( Value )
....การออกแบบผลิตสื่อใหม่ ควรคำนึงถึงดังนี้
1. จุดมุ่งหมาย : ต้องพิจารณาว่าต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนอะไร
2. ผู้เรียน : ควรได้พิจารณาผู้เรียนทั้งโดยรวมว่าเป็นใคร มีความรู้พื้นฐานและทักษะอะไรมาก่อน
3. ค่าใช้จ่าย : มีงบประมาณเพียงพอหรือไม่
4. ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค : ถ้าตนเองไม่มีทักษะจะหาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาจากแหล่งใด
5. เครื่องมืออุปกรณ์ : มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นพอเพียงต่อการผลิตหรือไม่
6. สิ่งอำนวยความสะดวก : มีอยู่แล้วหรือสามารถจะจัดหาอย่างไร
7. เวลา : มีเวลาพอสำหรับการออกแบบหรือไม่
....การใช้สื่อในการเรียนการสอน....
....หลักในการใช้สื่อการสอน ครูควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของสื่อการสอนแต่ละชนิดดังนี้
..1. ความเหมาะสม : สื่อที่ใช้เหมาะสมกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการสอนหรือไม่
..2. ความถูกต้อง : สื่อทีใช้ช่วยให้นักเรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องหรือไม่
..3. ความเข้าใจ : สื่อที่ใช้ควรช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและให้ข้อมูลที่ถุกต้องแก่นักเรียน
..4. ประสบการณ์ที่ได้รับ : สื่อที่ใช้นั้นช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่นักเรียนหรือไม่
..5. เหมาะสมกับวัย : ระดับความยากง่ายของเนื้อหาที่บรรจุอยู่ในสื่อชนิดนั้น ๆ เหมาะสมกับระดับ
ความสามารถ ความสนใจ และความต้องการของนักเรียนหรือไม่
..6. เที่ยงตรงในเนื้อหา : สื่อนั้นช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาที่ถูกต้องหรือไม่
..7. ใช้การได้ดี : สื่อที่นำมาใช้ควรทำให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้ดี
..8. คุ้มค่ากับราคา : ผลที่ได้จะคุ้มค่ากับเวลา เงิน และการจัดเตรียมสื่อนั้นหรือไม่
..9. ตรงกับความต้องการ : สื่อนั้นช่วยให้นักเรียนร่วมกิจกรรมตามที่ครูต้องการหรือไม่
..10. ช่วยเวลาความสนใจ : สื่อนั้นช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในช่วงเวลานานพอสมควรหรือไม่
....การวัดและประเมินผลสื่อการเรียนการสอน....
....หลังจากที่เราออกแบบสื่อแล้วแล้วนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน ก็ควรมีการวัดผลของสื่อ เป็นการวัดประสิทธิภาพของสื่อ ความคุ้มค่าของสื่อต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ วัดเพื่อปรับปรุงสื่อ วัดผลถึงระยะเวลาที่ในการนำเสนอสื่อว่าพอเหมาะหรือมากเกินความจำเป็น การวัดผลสื่อนี้เพื่อผลในการใช้ดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต เราสามารถที่จะนำเอาผลการอภิปรายในชั้นเรียน การสัมภาษณ์ และการสังเกตผู้เรียนมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสื่อได้
....เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลสื่อการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ ผู้กระทำการวัดและประเมินผลอาจเลือกใช้ตามความเหมาะสม ที่นิยมกันมากได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นต้น
....การวัดและการประเมินผลสื่อการเรียนการสอนมีขั้นตอนการตรวจสอบที่พิถีพิถันเพื่อให้ได้สื่อที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง การตรวจสอบแบ่งได้ดังนี้
..ขั้น 1 การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural basis)
....1. ลักษณะสื่อ....
..1.1 ลักษณะเฉพาะตามประเภทของสื่อ
..1.2 มาตรฐานการออกแบบ (Design Standards)
..1.3 มาตรฐานทางเทคนิควิธี (Technical Standards)
..1.4 มาตรฐานความงาม(Aesthetic standards)
....2. เนื้อหาสาระ....
..ขั้น 2 การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualilative basis) โดยปกติจะดำเนินการโดยการทดลองใช้สื่อกับตัวแทนกลุ่มเป้าหมายในสภาพการณ์จริงปกติ ซึ่งแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
..1) การทดสอบหนึ่งต่อหนึ่ง
..2) การทดสอบกลุ่มเล็ก
..3) การทดสอบกลุ่มใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2550

2.การออกแบบสื่อวัสดุกราฟิก

....หลักการออกแบบ (powerpoint)........สื่อวัสดุกราฟิก......" กราฟิก " (Graphic) เป็นคำมาจากภาษากรีกว่า Graphikos หมายถึงการเขียนภาพด้วยสีและเขียนภาพขาวดำและคำว่า " Graphein " มีความหมายทั้งการเขียนด้วยตัวหนังสือและการสื่อความหมายโดยการใช้เส้น ....เมื่อรวมทั้งคำ Graphikos และ Graphein เข้าด้วยกัน..วัสดุกราฟิกหมายถึงวัสดุใด ๆ ซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด ภาพเขียน และอักษรข้อความรวมกัน....ในหนังสือ Audiovisual Materials ซึ่งเขียนโดย Wittich & Schuller ได้แบ่งประเภทวัสดุกราฟิกไว้ดังนี้1. แผนสถิติ (Graphs) แบ่งออกเป็น...1.1 แผนสถิติแบบเส้น (Line Graphs)...1.2 แผนสถิติแบบแท่ง (Bar Graphs)...1.3 แผนสถิติแบบวงกลม (Circle or Pie Graphs)...1.4 แผนสถิติแบบรูปภาพ (Pictorial Graphs)...1.5 แผนสถิติแบบพื้นที่ (Area and Solid Figure Graphs)2. แผนภาพ (Diagrams)3. แผนภูมิ (Charts)...3.1 แผนภูมิแบบต้นไม้ (Tree Charts)...3.2 แผนภูมิแบบสายน้ำ (Stream Charts)...3.3 แผนภูมิแบบองค์การ (Organization Charts)...3.4 แผนภูมิแบบต่อเนื่อง (Flow Charts)...3.5 แผนภูมิแบบเปรียบเทียบ (Comparision Charts)...3.6 แผนภูมิแบบตาราง (Tabular Charts)...3.7 แผนภูมิแบบวิวัฒนาการ (Experience Charts)...3.8 แผนภูมิแบบอธิบายภาพ (Achivement Charts)4. ภาพโฆษณา (Posters)5. การ์ตูน (Cartoon) 6. ภาพวาด (Drawing)7. ภาพถ่าย (Photography) 8. ภาพพิมพ์ (Printing)9. สัญลักษณ์ (Symbols)


ตัวอย่างสื่อวัสดุกราฟิก 5 ชิ้น

























วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550

3.การเรียนโปรปแกรม photoshop


3. การเรียนโปรแกรม Photoshop .......Photoshop เป็นโปรแกรมในตระกูล Adobe เป็นโปรแกรมที่ใช้ตกแต่งภาพหัวใจของ Photoshop คือการทำงานเป็น LayerLayer คือ ชั้นของรูปภาพ วัตถุ จะไม่เกี่ยวข้องกันการตั้งค่าหน้ากระดาษ มีวิธีการดังนี้.....ไปที่ เมนู File > New จะกำหนดค่าต่างๆคือWidth : กำหนดความกว้างHeight :กำหนดความสูง(ควรเปลี่ยนหน่วยวัดด้านหลังก่อนกำหนดตัวเลข เช่น inches, pixels, cm ,mm )Resolotion : กำหนดเป็น 300Mode : กำหนดโหมดสี ควรกำหนดเป็น RGB ก่อน เป็นสีของแสง สีที่ใช้ในโรงพิมพ์ Picment คือ เม็ดสี ฝุ่นสี ก็คือโหมด CMYK.....C = Cyan สีฟ้า.....M= Mageta สีม่วงแดง.....Y=Yellow สีเหลือง.....K=Black สีดำContent กำหนด BackgroundWhite พื้นจะเป็นสีขาวTransparent พื้นจะเป็นสีใส หรือ โปร่งแสงการเปิดภาพที่เราต้องการ มีวิธีการดังนี้.....ไปที่เมนู File > Open เลือก ไฟล์ต่างๆที่ต้องการภาพ หากต้องการมองภาพให้ทำให้เป็น thumbnailsแล้วดับเบิลคลิกที่ภาพจะได้ภาพที่ต้องการการตัดภาพ.....การตัดภาพในโปรแกรม Photoshop สามารถใช้เครื่องมือได้หลายชนิด เช่นไปที่ Elliptical Marquee tool แล้วลากที่ภาพ จะขึ้นเป็นเส้นselection ถ้าต้องการยกเลิกมี 3 วิธี1. คลิกที่ภาพ2. Ctrl + D3. ไปที่เมนู Select > Deselectเมื่อลากที่ภาพแล้วใช้ Arrow Key เลื่อนการทำภาพเพิ่ม1. ไปที่ Edit > Copy แล้วไปที่ Edit > Paste เส้น Select จะหายไป ได้ Layerที่ 22. Ctrl+T หรือ ไปที่เมนู Edit >Free Tranfrom3. กด Shift ย่อภาพที่มุม4. Ctrl +T5. ลากกลับภาพ แล้ว enter Ctrl +T จะหายขั้นตอนการตกแต่งภาพ1. Double คลิก Layer2 จะเป็น Layer Style เลือก Bevel and Emboss การทำให้นูน2. ตั้งค่า ต่างๆ smooth, depth, size, soften ให้ภาพดูสวย3. Double คลิก Layer 2 เลือก Drop Shadow ใส่เงา ตั้งค่าตามต้องการ4. ไปที่ Opacity เป็นการปรับภาพให้จางลงการแก้ไขงาน ทำได้ 2 วิธี คือ1. Ctrl + Z เป็นการกลับไปยังคำสั่งสุดท้าย2. ไปที่ History เลือกกลับไปยังครั้งที่ต้องการแก้ไขการตัดพื้น.....การใช้ Polygonal Lasso Tool คลิกที่ภาพแล้วปล่อยจึงคลิกที่ภาพต่อไปเรื่อยๆ ถ้าต้องการตัดพื้นหลังออกให้คลิกในพื้นหลังจนกลับถึงจุดแรกให้เป็นเส้น select แล้วลบ พื้นหลังจะถูกลบออก ทำเช่นนี้ต่อไปจนได้ภาพที่ต้องการ แล้วจึงใช้ยางลบ ลบพื้นหลังที่ที่ยังเหลือให้มีเพียงภาพ แล้วจึงค่อยตกแต่งการบันทึกงาน สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้.......1.การ Save งานในนามสกุล PSD เพื่อสามารถไว้แก้ไข แต่จะเปลืองพื้นที่ มีวิธีการดังนี้1. เลือกเมนู File > Save as2. กำหนด Folder ที่จะเก็บงาน ชื่อและประเภทของไฟล์ ที่จะ save3. กำหนดค่าต่างๆ และที่ช่อง save กำหนดเป็น สกุลของ Photoshop คือ .psd.......2. การ Save งานในนามสกุล JPEG เป็นการ save ที่ไม่สามารถแก้ไขงานได้ เป็นงานที่สมบูรณ์แล้ว แต่เป็นการsave ที่ไม่เปลืองพื้นที่.......3. การ Save งานในนามสกุล GIF เป็นการ save ที่ไม่สามรถแก้ไขงานได้ เป็นงานที่สมบูรณ์แล้ว แต่จะเป็นการ save ที่จะไม่ติดพื้นหลังมาด้วยเมื่อมีการตัดภาพ (พื้นโปร่ง)การใช้ Filter......เมื่อได้ภาพที่ตัดสมบูรณ์แล้ว สามารถใช้ Filter ในการปรับแต่งภาพโดยวิธีดังนี้ เช่นไปที่ เมนู Filter > Stylize > Emboss สามารถปรับค่าต่างๆ ให้ภาพดูสวย พอใจแล้ว OKสามารถปรับแต่งภาพโดยใช้ Filter ได้หลายวิธีตามความต้องการ เช่น Sketch ,Artistic และอื่นๆโดยการ save ภาพต้นฉบับไว้ 1 ภาพ เพื่อสำหรับปรับแต่งภาพไว้หลายๆแบบ ไว้เลือกหรือเปรียบเทียบ

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550

4. การสร้าง BLOG

รู้จักกับ web log หรือ blog เว็บไซต์สายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อนักท่องเว็บตัวยงโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือหน้าเก่า พอได้ลองเล่นแล้ว… เลิกไม่ได้แน่นอน!นอกจากนั้นยังมีเบื้องหลังการสร้าง blog ด้วยตัวคุณเองเริ่มต้นอย่างง่ายๆ ขนาดเด็กที่ไหนก็ทำได้ไปจนถึงระดับแอดวานซ์หรูเลิศจนคนเห็นแล้วต้องอิจฉา ทำความรู้จักกับ blog หรือ web log เว็บไซต์สายพันธุ์ฮิตล่าสุด มาดูกันว่าทำไมเว็บไซต์ส่วนตัวสไตล์ง่ายๆ แบบนี้ถึงมีนักท่องเว็บพากันอ่านและแห่กันทำจนนับได้เป็นแสนไซต์ทั่วโลกภายในเวลา 2-3 ปีเท่านั้น!*เสน่ห์ของ blog อยู่ที่บุคลิก*blog มาจากไหน*กายวิภาค blog*มี blog ไว้ทำไม*เล่น blog ควรระวัง*แค่เล่นเน็ตเป็นก็ทำได้*BLOG GUIDEแต่ง blog ตามใจฉันพอทำ blog ไปได้สักพัก อาจจะเริ่มคันไม้คันมืออยากเปลี่ยนอะไรๆ ให้ blog ให้มันดูดีขึ้น ในบทนี้เราจะว่าด้วยการปรับแต่งค่าต่างๆ เพื่อให้ blog แสดงผลได้ถูกใจคุณมากกว่าเดิม รวมทั้งไขปัญหาเรื่องทำ blog ภาษาไทยยังไงให้ Blogger.com แสดงผลได้ถูกต้องที่สุด*ศูนย์รวมเรื่องแต่ง blog*เปลี่ยนหน้ากาก blog ไม่ต้องซื้อ*กำหนดลิงก์ Edit-Me ที่ Main Template*อีกหนึ่งความสำคัญของ Republish Entire Site*นั่นคือทั้งหมดที่มีให้ใน Blogger.com*BLOG GUIDE

5. สื่อวัสดุกราฟิก "สีไม้"

การออกแบบกราฟิกปัจจุบัน เป็นยุคของอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้นำเครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุอุปกรณ์ วัสดุสำเร็จรูป มาช่วยในการออกแบบกราฟิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ ( Computer Graphics ) มีโปรแกรมด้านการจัดพิมพ์ตัวอักษรที่นิยมกันมากคือ Microsoft Word สามารถจัดเรียง วางรูปแบบ สร้างภาพ กราฟ แผนภูมิ จัดการและสร้างสรรค์ตัวอักษร โปรแกรมอื่นๆที่สนับสนุนงานกราฟิกอีกมากมาย เช่น Adobe Photoshop / Illustrator / PageMaker / CorelDraw / 3D Studio / LightWave 3D / AutoCad ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมที่ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์งานกราฟิกบนเว็บ อีกมากเช่น Ulead Cool / Animagic GIF / Banner Maker เป็นต้นปัจจุบันงานคอมพิวเตอร์กราฟิก จึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบ การออกแบบและสร้างสรรค์งานกราฟิกอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ความสะดวก รวดเร็ว แก้ไขงาน ทำซ้ำงานทำได้ง่าย ตลอดจนการสั่งพิมพ์ หรือบันทึกเพื่อการพกพาในรูปแบบ" กราฟิก " ( Graphic ) เป็นคำมาจากภาษากรีกว่า Graphikos หมายถึงการเขียนภาพด้วยสีและเขียนภาพขาวดำ และคำว่า " Graphein " มีความหมายทั้งการเขียนด้วยตัวหนังสือและการสื่อความหมายโดยการใช้เส้น เมื่อรวมทั้งคำ Graphikos และ Graphein เข้าด้วยกันวัสดุกราฟิกจะหมายถึงวัสดุใด ๆ ซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด ภาพเขียน และอักษรข้อความรวมกัน ภาพวาดอาจจะเป็น แผนภาพ ( Diagram ) ภาพสเก็ต ( Sketch ) หรือแผนสถิติ ( Graph ) หรืออาจเป็นคำที่ใช้เป็นหัวเรื่อง ( Title ) คำอธิบายเพิ่มเติมของแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ และภาพโฆษณา อาจวาดเป็นการ์ตูนในรูปแบบหรือประเภทต่างๆ ภาพสเก็ต สัญลักษณ์ และภาพถ่าย สามารถใช้เป็นวัสดุกราฟิกเพื่อสื่อความหมายในเรื่องราวที่แสดงข้อเท็จจริงต่าง ๆได้วัสดุกราฟิกทางการศึกษา เป็นสื่อการสอนที่สื่อถึงเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้เส้น ภาพวาดและสัญลักษณ์ ที่ใกล้เคียงความเป็นจริง แทนคำพูดซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของแผนที่ แผนภาพ ภาพโฆษณา การ์ตูน และแผนสถิติ ประโยชน์ของวัสดุกราฟิก วัสดุกราฟิกต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังต่อไปนี้ 1. ใช้เป็นสื่อประกอบการสอนได้ทุกวิชา โดยเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและระดับของผู้เรียน 2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสิ่งนั้น ๆ ได้รวดเร็วกว่าใช้คำพูด ทำให้ประหยัดเวลาในการสอน 3. ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มีส่วนร่วมและอยากเรียน 4. ใช้ในการโน้มน้าวจิตใจในเรื่องต่าง ๆ เช่น ภาพโฆษณา การโฆษณาสินค้า 5. ใช้ในการจัดแสดงผลงาน หรือจัดนิทรรศการ 6. ใช้ในด้านเผยแพร่กิจกรรม การประชาสัมพันธ์ของทุกหน่วยงาน 7. ใช้ในการสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลงเจตคติ และสร้างความเข้าใจอันดีภายในและภายนอกองค์กร
ดินสอสี (สีไม้) ใช้สำหรับระบายสีภาพลงบนกระดาษสีขาว เพราะสีของดินสอมีความเข้มน้อย ประกอบกับมีปากขนาดเล็ก จึงเหมาะกับพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มากนักมีหลายสี เป็นชุดๆ บางชนิดละลายน้ำได้ โดยใช้พู่กันจุ่มน้ำแล้วไปลูบละเลงบนสีดินสอที่ระบายไว้แล้ว จะได้ภาพที่คล้ายสีน้ำ

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550

น่ารัก รักเธอ


เพราะเธอคือคนที่ฉันรัก เธอจึงน่ารักที่สุด

เราสองคน


ปลาหมึกผัดกระเพรากะเราสอง

+++ผญา (ปรัชญา)+++

.....ผญา (ปรัชญา)
..........คนอีสานมีคำคม สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)
...ผะหยา หรือ ผญา เป็นคำภาษาอีสาน สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปรัชญา เพราะภาษาอีสานออกเสียงควบ "ปร" ไปเป็น เช่น คำว่า เปรต เป็น เผต โปรด เป็น โผด หมากปราง เป็น หมากผาง ดังนั้นคำว่า ปรัชญา อาจมาเป็น ผัชญา แล้วเป็น ผญา อีกต่อหนึ่ง
ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้
ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย
ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมาก
...การจ่ายผญา หรือการแก้ผญา
การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือพูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมึผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นหมอลำฝ่ายชาย คือลำเป็นคำถาม ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบ หรือจ่ายผญา ด้วยเหตุนี้จึงมักจะเรียกว่า ลำผญา หรือลำผญาญ่อย เช่น
(ชาย) ..... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี
(หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด พัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายสิมาเกี้ยว พัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม พัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มี
หมอผญาที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ คือ แม่ดา ซามงค์ แม่สำอางค์ อุณวงศ์ แม่เป๋อ พลเพ็ง แม่บุญเหลื่อม พลเพ็ง แห่งบ้านดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น
การลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนั้นจะนั่งกับพื้น คือ หมอลำ หมอผญาและหมอแคน จะนั่งเป็นวง ส่วนผู้ฟังอื่น ๆ ก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ หมอลำบางครั้งจะมีการฟ้อนด้วย ส่วนผู้จ่ายผญา จะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งจะทำงานไปด้วยแก้ผญาไปด้วย เช่น เวลาลงข่วง หมอลำชายจะลำ เกี้ยว ฝ่ายหญิงจะเข็นฝ้ายไปแก้ผญาไป นอกจากหมอลำ หมอแคนแล้ว บางครั้งจะมีหมอสอยทำ การสอยสอดแทรกเป็นจังหวะไป ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน การจ่ายผญาในครั้งแรก ๆ นั้น เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียงยาว และนั่งพูดจ่ายตามธรรมดา ต่อมาได้มีการดัดแปลง ให้มีการเอื้อนเสียงยาว มีจังหวะและสัมผัสนอกสัมผัสในด้วย ทำให้เกิดความไพเราะ และมีการเป่า แคนประกอบจนกลายมาเป็น "หมอลำผญา" ซึ่งพึ่งมีขึ้นประมาณ 30-40 ปีมานี้
..........เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปการพัฒนาของการจ่ายผญาจึงมีมากขึ้น จากการนั่งจ่ายผญา ซึ่งมองกันว่าไม่ค่อยถนัดและไม่ถึงอกถึงใจผู้ฟัง (ด้วยขาดการแสดงออกด้านท่าทางประกอบ) จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นยืนลำ ทำให้มีการฟ้อนประกอบไปด้วย จากดนตรีประกอบที่มีเพียง แคน ก็ได้นำเอากลอง ฉิ่ง ฉาบ และดนตรีอื่น ๆ เข้ามาประกอบ จากผู้แสดงเพียง 2 คนก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3, 4 และ 5 คน จนมารวมกันเป็นคณะ เรียกว่า คณะหมอลำผญา บางคณะได้มีหางเครื่องเข้ามา ประกอบด้วย

...ความทวย (ปริศนาคำทาย)
ความทวย ในภาษาอีสาน จะมีความหมายตรงกับ ปริศนาคำทาย ในภาษากลาง เป็นวิธีการสอนลูกหลานให้มีความคิด เชาว์ปัญญา ไหวพริบปฏิภาณเฉียบแหลม ประกอบกับการเล่านิทานที่มีคติสอนใจ ในสมัยก่อนนั้น คนบ้านนอกในภาคอีสานยังไม่มีวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งบันเทิงที่พอมีคือการเล่านิทานชาดกของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ในขณะที่คนแก่ก็จะได้ความสุขใจมาจากการฟังเทศน์ฟังธรรมจากวัด
ช่วงเย็นหลังอาหารค่ำก็จะเป็นช่วงเวลาของเด็กๆ หนุ่มสาว จะได้ฟังนิทานชาดก นิทานพื้นบ้านกัน หลังการเล่านิทานก็จะมีการถามปัญหา หรือ ความทวย ผู้ใดสามารถตอบได้ก็จะได้รับรางวัลเป็นผลไม้ กล้วย อ้อย ตามฤดูกาล ตัวอย่างความทวย เช่น
...ความทวย สุกอยู่ดิน กากินบ่ได้ สุกอยู่ฟ้า กายื้อบ่เถิง ไผว่าแม่นหยัง?...
ความแก้ ลูกหลานก็จะคิดหาความแก้ ถ้าใครแก้ได้ท่านก็ให้รางวัลดังกล่าว แล้วความแก้หรือคำตอบนี้ก็คือ "ดวงตะวัน" และ "กองไฟ"

**ประเภทของผญา - สุภาษิต - ความทวย**

1. ผญาคำสอน
2. ผญาปริศนา
3. ผญาภาษิตสะกิดใจ
4. ผญาเกี้ยวพาราสีทั่วไป
5. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว
6. หมวดภาษิตคำเปรียบเปรยต่างๆ
7. ผญาปัญหาภาษิต
8. ความทวย
9. ภาษิตโบราณอีสาน
10. คำกลอนโบราณอีสาน
11. วรรณกรรมคำสอย (ตอนที่ 1)
12. วรรณกรรมคำสอย (ตอนที่ 2)

...การนับจอกเหล้า...
...การนับจอกเหล้าแบบที่ 1
-จอกหนึ่งพอชิกริก ( จอกแรกซู่ซ่า )
-จอกสองพอแซกแรก ( จอกสองเอามาอีก )
-จอกสามพอแปลกความ ( จอกสามเริ่มเสียงดัง )
-จอกสี่หลงพี่หลงน้อง ( จอกสี่ลืมพี่ลืมน้อง )
-จอกห้าเห็นป้าว่าแม่นเมีย ( จอกห้าเห็นป้านึกว่าเมีย )
-จอกหกชกปากพ่อเถ้า ( จอกหกชกปากพ่อตา )
-จอกเจ็ดแกล้มเป็ดแกล้มไก่ ( จอกเจ็ดหาเป็ดหาไก่มาแกล้ม )
-จอกแปดฟ้อนตากแดดว่าแม่นฝนตกริน ( จอกแปดรำกลางแดดนึกว่าฝน )
-จอกเก้าเข้าอยู่เล้าคึดอยากขายเกวียนละบาทก็ขาย ( จอกเก้าขายข้าวเกวียนละบาท )
-จอกสิบหลิบพุ้นหลิบพี้ ( จอกสิบเดินหน้าหนึ่งถอยหลังสาม )
-จอกสิบเอ็ดตึงลึงตึง ( จอกสิบเอ็ดยืนโงนเงนจนล้ม ครอกฟี้! )
...การนับจอกเหล้าแบบที่ 2
-จอกหนึ่งเอ็นคอพึงบ่ทันปาก ( จอกที่หนึ่งรินไม่ทัน )
-จอกสองเสียงกระชากผิดสำนวน ( จอกสองเสียงดังลั่นบ้าน )
-จอกสามชวนพ่อเถ้าเป็นสหาย ( จอกสามกอดคอพ่อตาเป็นสหาย )
-จอกสี่ชวนนายลงเป็นมิตร ( จอกสี่ดึงแขนนายให้เป็นเพื่อน )
-จอกห้าคิดอยากด่าเมียตน ( จอกห้าด่าเมียขโมง )
-จอกหกเห็นคนมาฮ้องใส่ ( จอกหกแกว่งปากหาตีน )
-จอกเจ็ดเหลียวเห็นไก่ว่าแม่นหมู ( จอกเจ็ดเห็นหนูเป็นแมว )
-จอกแปดใบหูแดงหน้าเคร่ง ( จอกแปดหูแดงหน้าตึง )
-จอกเก้าเปล่งวาจาผู้ใดมาบ่ย้าน ( จอกเก้าเสียงดังไม่กลัวใคร )
-จอกสิบอ่าน กอ ขอ กอ กา นอนกับหมาเกือขี้ฝุ่น จักว่าอุ่นบ่อุ่นตากแดดจนสาย พิษสุรามันหายเหื่อไคลไหลย้าว ( จอกสิบมีหมาเป็นเพื่อน อ๊วก! )
การนับจอกเหล้าแบบที่ 3
-จอกหนึ่งพุทธวาจา ( จอกหนึ่งเสียงหวาน )
-จอกสองหมากลางตลาด ( จอกสองหมากลางตลาด )
-จอกสามผ้าขาดบ่ฮู้จักตัว ( จอกสามผ้าขาด หลุด ไม่รู้ตัว )
-จอกสี่เห็นเจ้าหัวว่าแม่นจัวน้อย ( จอกสี่เห็นสมภารนึกว่าเณรน้อย )
-จอกห้าเห็นเห็นขี้ข้อยว่าแม่นเมียโต ( จอกห้าเห็นนางแจ๋วนึกว่าเมีย )
-จอกหกสายพังพานเพิ่นบ่พานโตพาน ( จอกหกนักเลงโต อยากหาเรื่อง )

สูตรสู่ความสำเร็จ


สูตรสู่ความสำเร็จ
> >ถ้า A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U >V W X Y Z > >มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 >22 23 24 25 26
> >แล้วจะพบว่า......
> >1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11 = 98%
> > HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98 %
> >2) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5 = 96%
> > KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %
> >3) L+O+V+E=12+15+22+5 = 54%
> > LOVE หรือ ความรัก >มีค่าเท่ากับ 54 %
> >4) L+U+C+K = 12+21+3+11 = 47%
> > LUCK หรือ โชค >มีค่าเท่ากับ 47 %
> > > Q ; ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! >แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ 100 %
> > - ใช่เงินหรือเปล่า ?……… .... .....ไม่ใช่ !!!!!
> > - ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?………ไม่ใช่ !!!!!
> > > Q ; แล้วอะไรล่ะ ? > > Ans. ; A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%
> > ATTITUDE หรือ ทัศนคติ นั่นเอง >ที่มีค่าเท่ากับ 100 %
> > > ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่ ทุกปัญหามีทางออก . . >บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน "ทัศนคติ "
> > ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง มีเพียงแต่ “ทัศนคติ” ของเราเท่านั้น >ที่จะเป็นตัวนำทาง ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต และงานที่ทำ
> > ความคิด & ทัศนคติ
> > สุดท้าย .... ลงมือทำ

นี่หรือคือคน