ชาวคอมพิวเตอร์

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550

การสร้างสื่อเพื่อการเรียนการสอน

หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียนการสอน
.....1.1 ความหมาย ประเภท ของสื่อการเรียนการสอน
.....1.2 คุณค่า และ ประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน
.....1.3 หลัการลือกและการใช้สื่อการเรียนการสอน
หน่วยที่ 2 จ

ไม่มีความคิดเห็น:

+++ผญา (ปรัชญา)+++

.....ผญา (ปรัชญา)
..........คนอีสานมีคำคม สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)
...ผะหยา หรือ ผญา เป็นคำภาษาอีสาน สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปรัชญา เพราะภาษาอีสานออกเสียงควบ "ปร" ไปเป็น เช่น คำว่า เปรต เป็น เผต โปรด เป็น โผด หมากปราง เป็น หมากผาง ดังนั้นคำว่า ปรัชญา อาจมาเป็น ผัชญา แล้วเป็น ผญา อีกต่อหนึ่ง
ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้
ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย
ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมาก
...การจ่ายผญา หรือการแก้ผญา
การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือพูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมึผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นหมอลำฝ่ายชาย คือลำเป็นคำถาม ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบ หรือจ่ายผญา ด้วยเหตุนี้จึงมักจะเรียกว่า ลำผญา หรือลำผญาญ่อย เช่น
(ชาย) ..... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี
(หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด พัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายสิมาเกี้ยว พัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม พัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มี
หมอผญาที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ คือ แม่ดา ซามงค์ แม่สำอางค์ อุณวงศ์ แม่เป๋อ พลเพ็ง แม่บุญเหลื่อม พลเพ็ง แห่งบ้านดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น
การลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนั้นจะนั่งกับพื้น คือ หมอลำ หมอผญาและหมอแคน จะนั่งเป็นวง ส่วนผู้ฟังอื่น ๆ ก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ หมอลำบางครั้งจะมีการฟ้อนด้วย ส่วนผู้จ่ายผญา จะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งจะทำงานไปด้วยแก้ผญาไปด้วย เช่น เวลาลงข่วง หมอลำชายจะลำ เกี้ยว ฝ่ายหญิงจะเข็นฝ้ายไปแก้ผญาไป นอกจากหมอลำ หมอแคนแล้ว บางครั้งจะมีหมอสอยทำ การสอยสอดแทรกเป็นจังหวะไป ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน การจ่ายผญาในครั้งแรก ๆ นั้น เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียงยาว และนั่งพูดจ่ายตามธรรมดา ต่อมาได้มีการดัดแปลง ให้มีการเอื้อนเสียงยาว มีจังหวะและสัมผัสนอกสัมผัสในด้วย ทำให้เกิดความไพเราะ และมีการเป่า แคนประกอบจนกลายมาเป็น "หมอลำผญา" ซึ่งพึ่งมีขึ้นประมาณ 30-40 ปีมานี้
..........เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปการพัฒนาของการจ่ายผญาจึงมีมากขึ้น จากการนั่งจ่ายผญา ซึ่งมองกันว่าไม่ค่อยถนัดและไม่ถึงอกถึงใจผู้ฟัง (ด้วยขาดการแสดงออกด้านท่าทางประกอบ) จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นยืนลำ ทำให้มีการฟ้อนประกอบไปด้วย จากดนตรีประกอบที่มีเพียง แคน ก็ได้นำเอากลอง ฉิ่ง ฉาบ และดนตรีอื่น ๆ เข้ามาประกอบ จากผู้แสดงเพียง 2 คนก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3, 4 และ 5 คน จนมารวมกันเป็นคณะ เรียกว่า คณะหมอลำผญา บางคณะได้มีหางเครื่องเข้ามา ประกอบด้วย

...ความทวย (ปริศนาคำทาย)
ความทวย ในภาษาอีสาน จะมีความหมายตรงกับ ปริศนาคำทาย ในภาษากลาง เป็นวิธีการสอนลูกหลานให้มีความคิด เชาว์ปัญญา ไหวพริบปฏิภาณเฉียบแหลม ประกอบกับการเล่านิทานที่มีคติสอนใจ ในสมัยก่อนนั้น คนบ้านนอกในภาคอีสานยังไม่มีวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งบันเทิงที่พอมีคือการเล่านิทานชาดกของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ในขณะที่คนแก่ก็จะได้ความสุขใจมาจากการฟังเทศน์ฟังธรรมจากวัด
ช่วงเย็นหลังอาหารค่ำก็จะเป็นช่วงเวลาของเด็กๆ หนุ่มสาว จะได้ฟังนิทานชาดก นิทานพื้นบ้านกัน หลังการเล่านิทานก็จะมีการถามปัญหา หรือ ความทวย ผู้ใดสามารถตอบได้ก็จะได้รับรางวัลเป็นผลไม้ กล้วย อ้อย ตามฤดูกาล ตัวอย่างความทวย เช่น
...ความทวย สุกอยู่ดิน กากินบ่ได้ สุกอยู่ฟ้า กายื้อบ่เถิง ไผว่าแม่นหยัง?...
ความแก้ ลูกหลานก็จะคิดหาความแก้ ถ้าใครแก้ได้ท่านก็ให้รางวัลดังกล่าว แล้วความแก้หรือคำตอบนี้ก็คือ "ดวงตะวัน" และ "กองไฟ"

**ประเภทของผญา - สุภาษิต - ความทวย**

1. ผญาคำสอน
2. ผญาปริศนา
3. ผญาภาษิตสะกิดใจ
4. ผญาเกี้ยวพาราสีทั่วไป
5. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว
6. หมวดภาษิตคำเปรียบเปรยต่างๆ
7. ผญาปัญหาภาษิต
8. ความทวย
9. ภาษิตโบราณอีสาน
10. คำกลอนโบราณอีสาน
11. วรรณกรรมคำสอย (ตอนที่ 1)
12. วรรณกรรมคำสอย (ตอนที่ 2)

...การนับจอกเหล้า...
...การนับจอกเหล้าแบบที่ 1
-จอกหนึ่งพอชิกริก ( จอกแรกซู่ซ่า )
-จอกสองพอแซกแรก ( จอกสองเอามาอีก )
-จอกสามพอแปลกความ ( จอกสามเริ่มเสียงดัง )
-จอกสี่หลงพี่หลงน้อง ( จอกสี่ลืมพี่ลืมน้อง )
-จอกห้าเห็นป้าว่าแม่นเมีย ( จอกห้าเห็นป้านึกว่าเมีย )
-จอกหกชกปากพ่อเถ้า ( จอกหกชกปากพ่อตา )
-จอกเจ็ดแกล้มเป็ดแกล้มไก่ ( จอกเจ็ดหาเป็ดหาไก่มาแกล้ม )
-จอกแปดฟ้อนตากแดดว่าแม่นฝนตกริน ( จอกแปดรำกลางแดดนึกว่าฝน )
-จอกเก้าเข้าอยู่เล้าคึดอยากขายเกวียนละบาทก็ขาย ( จอกเก้าขายข้าวเกวียนละบาท )
-จอกสิบหลิบพุ้นหลิบพี้ ( จอกสิบเดินหน้าหนึ่งถอยหลังสาม )
-จอกสิบเอ็ดตึงลึงตึง ( จอกสิบเอ็ดยืนโงนเงนจนล้ม ครอกฟี้! )
...การนับจอกเหล้าแบบที่ 2
-จอกหนึ่งเอ็นคอพึงบ่ทันปาก ( จอกที่หนึ่งรินไม่ทัน )
-จอกสองเสียงกระชากผิดสำนวน ( จอกสองเสียงดังลั่นบ้าน )
-จอกสามชวนพ่อเถ้าเป็นสหาย ( จอกสามกอดคอพ่อตาเป็นสหาย )
-จอกสี่ชวนนายลงเป็นมิตร ( จอกสี่ดึงแขนนายให้เป็นเพื่อน )
-จอกห้าคิดอยากด่าเมียตน ( จอกห้าด่าเมียขโมง )
-จอกหกเห็นคนมาฮ้องใส่ ( จอกหกแกว่งปากหาตีน )
-จอกเจ็ดเหลียวเห็นไก่ว่าแม่นหมู ( จอกเจ็ดเห็นหนูเป็นแมว )
-จอกแปดใบหูแดงหน้าเคร่ง ( จอกแปดหูแดงหน้าตึง )
-จอกเก้าเปล่งวาจาผู้ใดมาบ่ย้าน ( จอกเก้าเสียงดังไม่กลัวใคร )
-จอกสิบอ่าน กอ ขอ กอ กา นอนกับหมาเกือขี้ฝุ่น จักว่าอุ่นบ่อุ่นตากแดดจนสาย พิษสุรามันหายเหื่อไคลไหลย้าว ( จอกสิบมีหมาเป็นเพื่อน อ๊วก! )
การนับจอกเหล้าแบบที่ 3
-จอกหนึ่งพุทธวาจา ( จอกหนึ่งเสียงหวาน )
-จอกสองหมากลางตลาด ( จอกสองหมากลางตลาด )
-จอกสามผ้าขาดบ่ฮู้จักตัว ( จอกสามผ้าขาด หลุด ไม่รู้ตัว )
-จอกสี่เห็นเจ้าหัวว่าแม่นจัวน้อย ( จอกสี่เห็นสมภารนึกว่าเณรน้อย )
-จอกห้าเห็นเห็นขี้ข้อยว่าแม่นเมียโต ( จอกห้าเห็นนางแจ๋วนึกว่าเมีย )
-จอกหกสายพังพานเพิ่นบ่พานโตพาน ( จอกหกนักเลงโต อยากหาเรื่อง )

สูตรสู่ความสำเร็จ


สูตรสู่ความสำเร็จ
> >ถ้า A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U >V W X Y Z > >มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 >22 23 24 25 26
> >แล้วจะพบว่า......
> >1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11 = 98%
> > HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98 %
> >2) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5 = 96%
> > KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %
> >3) L+O+V+E=12+15+22+5 = 54%
> > LOVE หรือ ความรัก >มีค่าเท่ากับ 54 %
> >4) L+U+C+K = 12+21+3+11 = 47%
> > LUCK หรือ โชค >มีค่าเท่ากับ 47 %
> > > Q ; ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! >แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ 100 %
> > - ใช่เงินหรือเปล่า ?……… .... .....ไม่ใช่ !!!!!
> > - ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?………ไม่ใช่ !!!!!
> > > Q ; แล้วอะไรล่ะ ? > > Ans. ; A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%
> > ATTITUDE หรือ ทัศนคติ นั่นเอง >ที่มีค่าเท่ากับ 100 %
> > > ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่ ทุกปัญหามีทางออก . . >บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน "ทัศนคติ "
> > ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง มีเพียงแต่ “ทัศนคติ” ของเราเท่านั้น >ที่จะเป็นตัวนำทาง ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต และงานที่ทำ
> > ความคิด & ทัศนคติ
> > สุดท้าย .... ลงมือทำ

นี่หรือคือคน